เสียงหลุดไม่ใช่เรื่องใหญ่—แต่ “ความกลัวเกินไป” ต่างหากคือศัตรู

หลังจากดราม่าคลิปเสียงของนายกรัฐมนตรีหลุดออกมา ซึ่งเป็นบทสนทนากับรัฐบาลของกัมพูชา ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์ หนักถึงขั้นที่บางคนเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี “ลาออก” หรือ “ยุบสภา” ทันที

แต่ในมุมของผม… บทสนทนานั้นคือ การพูดคุยส่วนตัว และถ้ามองลึกกว่านั้น มันคือ เทคนิคทางการเจรจา ที่ใช้กันในวงการการเมืองระดับสูง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรเลย


🧠 ในระบอบประชาธิปไตย ความขัดแย้งคือเรื่อง “ปกติ”

เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในระบอบประชาธิปไตย การมีความเห็นไม่ตรงกันเป็นเรื่องธรรมดามาก จะให้ทั้งรัฐบาลและประชาชนเห็นพ้องต้องกันทุกเรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ และมันไม่ควรเป็นไปได้ด้วยซ้ำ

ความขัดแย้ง ในทางนโยบาย หรือแม้แต่การวิจารณ์รัฐบาล เป็นรากฐานของเสรีภาพที่ควรจะเกิดขึ้นได้ในทุกประเทศที่เรียกตัวเองว่าประชาธิปไตย

ในเวลาเดียวกัน เราก็ต้องไม่ตกเป็น เหยื่อของการปลุกปั่น

ต้องแยกแยะให้ออกระหว่าง “การวิจารณ์ที่สร้างสรรค์” กับ “การบิดเบือนเพื่อล้มล้าง”


🤝 เจรจาคือการประคองไม่ใช่การข่มขู่

บางคนอาจจะรู้สึกว่าเสียงที่ได้ยินในคลิปนั้นดู “เฟค” หรือ “ประจบ” แต่ลองคิดดูครับ… ถ้าเราต้องไปเจรจากับผู้ใหญ่ระดับผู้นำประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขอความร่วมมือหรือคลี่คลายสถานการณ์

คุณคิดว่าเราควรพูดว่า

“ถ้ามึงไม่เปิดด่าน กูจะทำให้ประเทศมึงฉิบหาย”

หรือควรพูดว่า

“พี่คะ หนูเข้าใจพี่นะ แต่ช่วยกันเปิดพื้นที่ให้หน่อย จะได้ไม่มีใครเสียหน้า”

เจรจาที่ดีไม่ใช่เรื่องของการข่มขู่ แต่คือการใช้ไหวพริบเพื่อรักษาประโยชน์ของประเทศโดยไม่ให้ใครเสียหน้า

และนั่นแหละครับ คือสิ่งที่นายกฯ พยายามทำ

ทางกองทัพเองก็ได้ให้สัมภาษณ์แล้วว่า ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจหรือมองเป็นเรื่องผิด เพราะเขาเข้าใจว่านี่คือ “เทคนิค” ไม่ใช่ “การทรยศ”


🇹🇭 ประเทศไทยไม่อ่อนแอ — คนไทยก็เช่นกัน

ประเทศไทยของเรา ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นครับ

เสียงหลุดแค่นี้ไม่ได้ทำให้ประเทศต้องล่มสลาย หรือถึงขั้นต้องล้มรัฐบาล

สิ่งที่น่ากลัวจริง ๆ คือ “ความตื่นตูม”

เราคนไทยไม่ควรเป็น “กระต่ายตื่นตูม” แค่ได้ยินเสียงหนึ่งเสียงแล้วหวาดกลัวไปหมด

เราควรเข้มแข็งไปด้วยกันครับ ไม่ให้ใครมาข่มเราได้ ไม่ว่าในหรือนอกประเทศ


🗳 ถ้าไม่พอใจรัฐบาล — ใช้สิทธิเลือกตั้ง

หากคุณคิดว่านายกฯ ทำงานไม่ดีพอ ก็ไม่จำเป็นต้องเลือกเขาอีกครับ

แต่ผมอยากให้โอกาสรัฐบาลได้แสดงผลงานก่อน แล้วค่อยตัดสินกันที่ “ผลลัพธ์” ไม่ใช่ “อารมณ์”

ประชาธิปไตยไม่ได้หมายถึงการล้มรัฐบาลกลางทาง

แต่มันคือการให้โอกาสเขาทำหน้าที่ตามวาระ แล้วใช้เสียงของประชาชนในการตัดสินในครั้งต่อไป

สุดท้ายนี้…

เราคือประชาชนที่มีเหตุผล มีสติ และมีศักดิ์ศรี

อย่าให้ใครปลุกปั่นให้เรากลัวกันง่าย ๆ

อย่าให้ใครชี้หน้าเราว่าเราอ่อนแอ

เพราะเราคนไทย — เข้มแข็งกว่าที่ใครคิด

Aam Anusorn Soisa-ngim

Aam Anusorn is an independent filmmaker and storyteller with a decade of experience in the industry. As the founder and CEO of Commetive By Aam, he has directed and produced several acclaimed films and series, including the popular "Till The World Ends" and "#2moons2." Known for his creative vision and determination, Aam prefers crafting original stories that push the boundaries of traditional genres, particularly in the BL and LGBTQ+ spaces. Despite the challenges and pressures of working in a competitive field, Aam’s passion for storytelling drives him to explore new ideas and bring unique narratives to life. His work has garnered recognition and support from prestigious platforms, including the Tokyo Gap Financial Market. Aam continues to inspire audiences with his innovative approach to filmmaking, always staying true to his belief in the power of original, heartfelt stories.

https://Commetivebyaam.com
Next
Next

Crossroads (2002) Is a Hot Mess — And I Loved Every Glittery Second