นักทำหนังอิสระกับความเจ็บปวดในอุตสาหกรรมที่ไม่มีใครเหลียวแล 

หมายเหตุถึงผู้อ่าน:
บทความนี้ไม่ได้พูดถึงใครหรือกลุ่มใดเป็นการเฉพาะ แต่สะท้อนถึงสิ่งที่พบเจอและประสบการณ์ตลอดหลายปีในวงการ โดยมุ่งเน้นที่ปัญหาเชิงระบบมากกว่าการกล่าวโทษส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม ถ้ารองเท้าคู่นี้พอดีกับเท้าคุณ… สิ่งที่ผมทำได้คงมีแค่หัวเราะและเดินหน้าต่อไป

(27 ธันวาคม) ลองจินตนาการว่าคุณทุ่มเททั้งชีวิตให้กับสิ่งที่คุณรัก—การสร้างภาพยนตร์ การเล่าเรื่องที่สะท้อนจิตวิญญาณ แต่เมื่อคุณก้าวเข้าสู่วงการที่ควรจะเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความงดงาม

แต่กลับพบว่าเต็มไปด้วย “ความเข้าใจผิด การใส่ร้าย การเมือง และการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน” นี่ไม่ใช่แค่จินตนาการ แต่มันคือความจริงที่เจ็บปวดสำหรับผู้กำกับภาพยนตร์อิสระหลายคน

1. ความไม่รู้หน้าที่ของคนผู้มีอำนาจ

หนึ่งในอุปสรรคใหญ่ของผู้กำกับภาพยนตร์อิสระคือ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับนักลงทุนและผู้อำนวยการสร้าง

นักลงทุน (Investor): นักลงทุนไม่ใช่ “ผู้ให้กู้เงิน (Moneylender)” ที่หวังดอกเบี้ยสูงสุดเสมอไป แต่เป็นผู้ที่พร้อมรับความเสี่ยงเพื่อผลตอบแทน (M&G Insights, 2024). การตีความบทบาทผิดๆ นี้ มักนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างผู้กำกับและผู้สนับสนุนทางการเงิน

(อ้างอิง: Investor, Moneylender)

ผู้อำนวยการสร้าง (Producer): หลายคนเข้าใจว่าผู้อำนวยการสร้างมีหน้าที่แค่ควบคุมงบประมาณและถือเงินทุน แต่จริงๆ แล้ว พวกเขามีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการโครงการ ตั้งแต่การจัดหาทีมงาน การกำหนดงบประมาณ ไปจนถึงการตลาด (StudioBinder, 2023). หากการจัดการล้มเหลว โครงการอาจล่มได้ และผู้กำกับซึ่งไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเงินทุนโดยตรงมักถูกตำหนิอย่างไม่เป็นธรรม

(อ้างอิง: Producer vs Director, Executive Producer)

2. การเมืองในวงการภาพยนตร์: เมื่อความฝันต้องเผชิญความจริง

ในวงการภาพยนตร์ ความคิดสร้างสรรค์ควรเป็นหัวใจหลัก แต่ในความเป็นจริง กลับเต็มไปด้วยการใช้อำนาจและการเมือง

ระบบอุปถัมภ์: ระบบรุ่นพี่รุ่นน้องในวงการไทย แม้มีข้อดี แต่ก็สร้างความไม่เท่าเทียม โดยเฉพาะเมื่อผู้กำกับอายุน้อยถูกคาดหวังให้ “เชื่อฟัง” ผู้มีอาวุโสเสมอ

การควบคุมโอกาส: ผู้มีอิทธิพลสามารถปิดกั้นโอกาสของผู้สร้างภาพยนตร์อิสระได้ง่ายๆ เพียงคำสั่งเดียว

บรรยากาศเช่นนี้ทำให้ผู้กำกับที่มีความสามารถหลายคนต้องยอมแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้แสดงศักยภาพของตนเอง

3. วงจรของการเอารัดเอาเปรียบ

การจัดการงบประมาณที่ผิดพลาดและการถูกกดดันจากผู้มีอำนาจเป็นเรื่องปกติในอุตสาหกรรมนี้

ค่าตอบแทนต่ำ: ซีรีส์หรือตอนหนึ่งในแพลตฟอร์มดิจิทัลบางแห่งถูกซื้อในราคาต่ำจนน่าตกใจ

สัญญาไม่เป็นธรรม: ผู้กำกับมักเผชิญสัญญาที่จำกัดอิสระในการสร้างสรรค์ หรือถูกบังคับให้ลดคุณภาพงานเพื่อผลตอบแทนทางการเงิน

กรณีศึกษาชัดเจนจากภาพยนตร์ Parasite ที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในระดับโลก ผู้กล่าวขอบคุณกลับเป็นโปรดิวเซอร์

4. แรงกดดันที่ทำลายความฝัน

แรงกดดันที่เลวร้ายที่สุดคือการถูกกดดันทางจิตใจและร่างกาย

การละเมิดสิทธิ์: การกดดันทางเพศหรือการข่มขู่ด้วยอำนาจยังคงเป็นปัญหาสำคัญในวงการ

การบั่นทอนความฝัน: หลายคนต้องละทิ้งวิสัยทัศน์เพื่องานที่ “ขายได้” หรือเผชิญการสูญเสียศักดิ์ศรีเพื่อให้ได้บทบาท

สิ่งเหล่านี้ไม่ควรเป็นเรื่องปกติ แต่กลับกลายเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับหลายคน

5. การถือครองสิทธิ์ของภาพยนตร์หรือผลงานศิลปะ

ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือผลงานศิลปะประเภทใด สิทธิ์ในการถือครองลิขสิทธิ์ตามกฎหมายโลก อยู่กับผู้ที่สร้างผลงาน เช่น ผู้เขียนบทหรือผู้กำกับ ตามหลักของ อนุสัญญาเบิร์น (Berne Convention) ซึ่งรับรองสิทธิ์โดยอัตโนมัติตั้งแต่วันที่ผลงานนั้นเสร็จสมบูรณ์

สิทธิ์ทางศีลธรรมและเศรษฐกิจ: กฎหมายลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ รวมถึงในไต้หวันและประเทศส่วนใหญ่ แบ่งลิขสิทธิ์ออกเป็นสองประเภท ได้แก่

สิทธิ์ทางศีลธรรม (Moral Rights): คุ้มครองชื่อเสียงและเนื้อหาของผู้สร้าง เช่น ห้ามมิให้ดัดแปลงหรือบิดเบือนผลงาน

สิทธิ์ทางเศรษฐกิจ (Economic Rights): คุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน เช่น สิทธิ์ในการเผยแพร่และจำหน่าย  

การโอนหรือให้เช่าลิขสิทธิ์: ตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ผู้ถือสิทธิ์สามารถโอนสิทธิ์หรือให้เช่าผลงานได้ แต่ต้องระบุเงื่อนไขในเอกสารที่ชัดเจน เช่น ระยะเวลา ขอบเขตทางภูมิศาสตร์ และวิธีการใช้ลิขสิทธิ์  

การเข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายลิขสิทธิ์ไม่เพียงช่วยปกป้องผู้สร้างผลงาน แต่ยังลดข้อขัดแย้งในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ซึ่งมักเกิดจากการตีความสิทธิ์ที่ไม่ถูกต้อง  .


ความหวังที่ยังหลงเหลืออยู่

แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่ผู้กำกับภาพยนตร์อิสระยังคงต่อสู้เพื่อความฝัน

การเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น

• เปลี่ยนจากการใช้อำนาจไปสู่การสนับสนุน

• เปลี่ยนจากการเอารัดเอาเปรียบไปสู่ความยุติธรรม

• เปลี่ยนจากการเมืองไปสู่ความสร้างสรรค์

คุณสามารถช่วยได้

สนับสนุนผู้กำกับภาพยนตร์อิสระ สนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ และร่วมสร้างอนาคตที่ทุกคนสามารถเติบโตได้ในวงการนี้…

“ความฝันสมควรได้รับโอกาส ไม่ใช่ถูกทำลายด้วยอำนาจและผลประโยชน์”


ข้อมูลเพิ่มเติม
(1) https://dictionary.cambridge.org/dictionary/english/investor
(2) https://dictionary.cambridge.org/dictionary/english/moneylender
(3) https://www.mandg.com/investments/private-investor/en-gb/in-the-spotlight/m-g-insights/2024/08/the-five-golden-rules-of-investing
(4) https://www.indeed.com/career-advice/finding-a-job/executive-producer-vs-producer
(5) https://www.studiobinder.com/blog/producer-vs-director/?utm_source=chatgpt.com
(6) https://www.wipo.int/treaties/en/ip/berne/
Aam Anusorn Soisa-ngim

Aam Anusorn is an independent filmmaker and storyteller with a decade of experience in the industry. As the founder and CEO of Commetive By Aam, he has directed and produced several acclaimed films and series, including the popular "Till The World Ends" and "#2moons2." Known for his creative vision and determination, Aam prefers crafting original stories that push the boundaries of traditional genres, particularly in the BL and LGBTQ+ spaces. Despite the challenges and pressures of working in a competitive field, Aam’s passion for storytelling drives him to explore new ideas and bring unique narratives to life. His work has garnered recognition and support from prestigious platforms, including the Tokyo Gap Financial Market. Aam continues to inspire audiences with his innovative approach to filmmaking, always staying true to his belief in the power of original, heartfelt stories.

https://Commetivebyaam.com
Previous
Previous

Korean Boys’ Love Takes Over Thai BL’s Crown 🎙️ New Podcast Alert!

Next
Next

What Happens When Humanity is Tested at the End of the World?